วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

เฟอร์รารี่ แคลิฟอร์เนีย (FERRARI CALIFORNIA)


เฟอร์รารี่ แคลิฟอร์เนีย (FERRARI CALIFORNIA) ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยเฉพาะด้วย แรงบันดาลใจจากจิตวิญญาณของรถเฟอร์รารี่ในอดีต ซึ่งเป็นเวลาหลายปีที่ เฟอร์รารี่ แคลิฟอร์เนีย รุ่น 250 ปี 1957 ได้กลายเป็นรถซุปเปอร์คาร์เปิดประทุนที่ออกแบบไว้อย่างสง่างาม และเป็นมากกว่าสัญลักษณ์แห่งพลังขับเคลื่อนที่แข็งแกร่ง ด้วยลักษณะพิเศษเฉพาะที่สร้างขึ้นมาอย่างไร้ที่ติ พร้อมสมรรถนะการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยเครื่องยนต์ถึง 8 สูบ

เฟอร์รารี่ แคลิฟอร์เนีย ดูโฉบเฉี่ยวด้วยสไตล์การออกแบบที่เน้นระบบแอโร่ไดนามิค เฉกเช่นรถเฟอร์รารี่รุ่นอื่นๆ จากการสร้างสรรค์ของเจ้าสำนักออกแบบ พินิฟารีน่า และคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของความเป็นเฟอร์รารี่ไว้อย่างครบครัน

The new 8-cylinder engine
เฟอร์รารี่ แคลิฟอร์เนีย มาพร้อมกับสุดยอดแห่งการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์วี 8 วางหน้ารุ่นแรกของเฟอร์รารี่ที่สามารถขับขี่ได้ทุกวัน สร้างแรงม้าได้ถึง 453 ที่ 7,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 458 นิวตัน-เมตร ที่ 5,000 รอบต่อนาที ทำความเร็วจาก 0 – 100 ต่ำกว่า 4 วินาที และ 0-400 ที่ 12.2 วินาที สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 310 กม./ชม. ที่สำคัญรถรุ่นนี้ใช้น้ำมันเพียงแค่ 13.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร

Gearbox and transmission
รถเฟอร์รารี่ แคลิฟอร์เนีย พุ่งทะยานขีดสุดด้วยการขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีด และสามารถเปลี่ยนเกียร์ด้วยเกียร์แบบ F1 การรับน้ำหนักอยู่ที่ด้านหน้า 47% ด้านหลัง 53%

Chassis and suspensions
ตัวถังทำจากอลูมิเนียมทั้งหมดและยังคงระบบกันสะเทือนล้อหน้าไว้เช่นเดิม

Retractable Hard Top
ย้ำความสมบูรณ์แบบของสปอร์ตซูเปอร์คาร์ 2 ที่นั่ง เฟอร์รารี่ แคลิฟอร์เนีย ได้ใช้ระบบเปิดประทุนเป็นหลังคาแข็ง ซึ่งทำมาจากอลูมิเนียม จึงทำให้มีน้ำหนักเบา และสามารถเปิด-ปิดได้ในระยะเวลา 14 วินาที

The GT Manettino and F1-Trac
ระบบ GT Manettino เป็นระบบมาตรฐานของเฟอร์รารี่ทุกรุ่นที่ประยุกต์มาจากเทคโนโลยี F1 สามารถเลือกโหมดได้ 3 รูปแบบคือ Comfort, Sport และ CST-Off

Safety equipment
เฟอร์รารี่ แคลิฟอร์เนีย มีระบบคานนิรภัยป้องกันภัย ที่สามารถป้องกันตัวรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุ มีระบบไฟหน้าเลี้ยวตามเมื่อเวลาเข้าโค้ง

Interior and Standard Equipment
สุดยอดสปอร์ตซูเปอร์คาร์ 2 ที่นั่งเฉกเช่น เฟอร์รารี่ แคลิฟอร์เนีย ยังมาพร้อมเบาะหลังที่สามารถใส่กระเป๋าเดินทางหรือถุงกอล์ฟได้ พร้อมสกรีนหน้าจอให้เชื่อมต่อกับ USB หรือ iPod ได้

Ferrari 612 GTO Concept


เราจะไม่ผิดถ้าเราบอกว่าแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ดีที่สุดของ รถเฟอร์รารี่จากนักออกแบบผู้ที่ไม่เคยทำงานในแผนกออกแบบของ Ferrari นี้ นี่คือซุปเปอร์คาร์ที่สวยงามเป็นพิเศษเรียกว่า Ferrari 612GTO ผู้สร้างของแนวคิดนี้ - Sasha Selipanov จากเบอร์ลิน, เยอรมนี แนวคิด Ferrari 612 GTOโดย Sasha - แนวคิดที่น่าตื่นเต้นจริงๆ บางทีการเป็นผู้นำ Ferrari จะต้องใส่ใจกับงานนี้และจะ considere มันในขณะที่การสร้างแบบจำลองของพวกเขาที่ตามมาของรถซูเปอร์คาร์


FERRARI F70 ENZO 2013

FERRARI F70 ENZO 2013




Ferrari เปิดเผยถึงแผนงานการสร้างเครื่องยนต์ V12 ตัวใหม่ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Hybrid ขุมกำลัง 800 แรงม้าดังกล่าวจะถูกนำไปวางลงใน New Enzo ซึ่งจะวางขายภายในปี 2013 นี้...

ค่ายม้าลำพอง Ferrari เปิดเผยถึงเครื่องยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่พ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับการให้ พลังงานผสมผสานไปกับเครื่อง V12 ตัวแรง เครื่องยนต์ดังกล่าวจะถูกวางลงใน New Enzo F70 ซึ่งจะออกขายภายในปลายปี 2013 และเข้ามาแทนที่ F60 ตัวเก่าที่ทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2002 มันคือ Ferrari เวอร์ชั่นถนนที่เร็วที่สุดในโลก ตัวถังยังคงผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์และวัสดุผสมพิเศษเหมือนเดิมแต่ปราดเปรียว เพรียวลมมากยิ่งขึ้น เส้นสายรายละเอียดยังคงมีกลิ่นอายของรุ่นที่แล้ว แต่ปรับเปลี่ยนให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ระบบอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงที่ใช้ควบคุมกลไกไฟฟ้าต่างๆ รวมถึงแอร์โรไดนามิกส์ ในระดับสุดยอดจากอุโมงค์ลมทดสอบของค่ายม้าลำพอง รถF70 ถูกออกแบบมาเพื่อการทำความเร็วในขั้นสุดขั้ว โดยมีอัตราการปล่อย CO2 ต่ำที่สุดในบรรดาซุปเปอร์คาร์ 800 แรงม้า









ท่ามกลางความลับระดับสุดยอดของบริษัท Ferrari ภาพของ F70 ในคอมพิวเตอร์ทำการคาดคะเนถึงความเป็นไปได้จากรถต้นแบบที่ออกวิ่งทดสอบ พร้อมๆ ไปกับการอำพรางอย่างมิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ใดเห็นรูปทรงที่แท้จริงของมันก่อนวันเปิดผ้าคลุม ระบบ Hybrid ที่นำกลไกมาจากรถ F1 จะช่วยให้ New Enzo F70 วิ่งได้ด้วยความเร็วที่น่ากลัวสุดๆ มันจะวางเครื่องยนต์แบบ V12 ที่ให้แรงม้ามากถึง 731 ตัว บวกมอเตอร์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับชุดส่งกำลังหรือเกียร์ 7 สปีด ทวินคลัตช์แบบล่าสุด ตำแหน่งกลางลำตัวสำหรับการวางเครื่องยนต์ยังคงคล้ายกับรุ่นพี่อย่างF40 /F50/F60 โดยชุดเกียร์จะติดตั้งอยู่หลังเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลังแบบ Dual-Clutch 7 Speed จะช่วยเพิ่มความแรงในรูปของแรงบิดเฉียบพลันที่ได้จากมอเตอร์ไฟฟ้าพลังสูง เพื่อให้ได้แรงบิดที่รุนแรงและมีความต่อเนื่องตั้งแต่เกียร์ 1-7 วิศวกรของ Ferrari ต้องวางเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหรือ Generator เอาไว้ที่ด้านหน้าเครื่องยนต์ เพื่อรักษาตัวเลขของการกระจายน้ำหนักและการนำพลังงานไฟฟ้ากลับมาใช้ รวมถึงการสำรองพลังงานด้วยการส่งไปเก็บยังแบตเตอรี่แบบ Lithium ion ที่วางอยู่กลางลำตัวใต้เบาะคู่หน้า




สมรรถนะเพิ่มสูงขึ้นสวนทางกับการปล่อยมลภาวะที่ลดลงแม้จะบ้าพลังถึง 800 แรงม้า โปรเจกต์ F70 จะประกอบไปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีล่าสุดของระบบขับเคลื่อนที่วิจัย และพัฒนาจากสนามแข่ง F1 ระบบ HY-KERS จะเพิ่มกำลังให้กับเครื่องยนต์ 12 กระบอกสูบจนตัวเลขอาจทะลุเพดานไปถึง 900 แรงม้าในวันเปิดผ้าคลุม ตามหลักการแล้วระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมแรงทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก แต่ขั้นตอนในการพัฒนาทำให้ F70 สามารถผ่านหลักเกณฑ์ข้อนี้ไปได้อย่างสบาย วัสดุน้ำหนักเบาที่นำมาใช้ช่วยให้รถ Enzo คันใหม่เบากว่ารุ่นที่แล้วถึง 150 กิโลกรัม และมันจะมีอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักประมาณ 1.3 แรงม้า/กิโลกรัม ซึ่งนับว่าสูงมาก การวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนๆ ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักในการสร้างรถคันนี้ และการนำเอาพลังงานไฟฟ้าเข้ามาช่วยเสริมแรงโดยเจาะจงไปที่ตัวเลขของการปล่อยของเสียที่ลดลง ปุ่มควบคุมการใช้พลังงาน Push To Pass จะวางตำแหน่งไว้ใกล้ๆ กับปุ่มปรับโหมดการขับขี่ Manettino





F70 Enzo น่าจะมีน้ำหนักรวมทั้งคันประมาณ 1,200 กิโลกรัม และหากช่างที่มาลาเนโลทำได้อย่างที่คุยเอาไว้จริง ตัวเลขอัตราส่วนของแรงม้าต่อน้ำหนักจะอยู่ในระดับที่สุดขั้ว 750 แรงม้าต่อตันซึ่งนับได้ว่าสูงที่สุดเกือบอยู่ในอันดับที่หนึ่งของวงการรถสปอร์ต รายละเอียดส่วนใหญ่ของตัวรถยังคงถูกปิดเป็นความลับที่ยากจะเข้าถึง และที่แน่ๆ ก็คือการผลิตในรูปแบบลิมิเต็ดอิดิชั่นที่ต้องการหลีกเลี่ยงนักเก็งกำไรประเภทที่ชอบซื้อมาขายไปและกระทำกับ Ferrari ราวกับพวกไร้จิตวิญญาณ ราคาค่าตัวอาจทะลุเกิน 1 ล้านปอนด์ และเจ้าของใหม่จะต้องรอนานถึงเกือบสองปีถึงจะได้ควบเจ้าม้าลำพองที่ถือได้ว่า แรงและแพงที่สุดในคอกม้าป่าจากมาลาเนโล.


Ferrari 599 GTB Fiorano รุ่นพิเศษVersionจีน

Ferrari 599 GTB Fiorano รุ่นพิเศษ เวอร์ชั่นจีน ผลิตเพื่อการประมูลไม่เกิน 1 โหล

Ferrari 599 GTB Fiorano รุ่นพิเศษ เวอร์ชั่นจีน ผลิตเพื่อการประมูลไม่เกิน 1 โหล
ด้วยอำนาจการต่อรองในเรื่องเศรษฐกิจในปัจจุบันของจีน Ferrari จึงไม่มีปัญหาที่จะผลิตรถยนต์รุ่นพิเศษที่มีลวดลายแปลกตาออกไปมากๆโดยการนำเอา 599 GTB Fiorano มาแต่งลายแก้วร้าวบนซุปเปอร์คาร์ยอดนิยม
รุ่นหนึ่งของบริษัทฯ ซึ่งจุดประสงค์หลักคือ การนำเอารถยนต์รุ่น Limited Edition นี้เข้าร่วมการประมูลที่จัดขึ้นเป็นพิเศษโดย Ferrari ณ กรุงปักกิ่ง ในวันที่ 3 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ และก็ไม่แปลกเช่นกันที่ลวดลายนี้ออกแบบโดยศิลปินชาวจีนที่ชื่อ Lu Hao

Ferrari 599 GTB Fiorano รุ่นพิเศษ เวอร์ชั่นจีน ผลิตเพื่อการประมูลไม่เกิน 1 โหล
Ferrari 599 GTB Fiorano รุ่นพิเศษนี้จะถูกผลิตออกมาเพียงไม่เกิน 12 คัน โดยมีการออกแบบให้มีเอกลักษณ์ของความเป็นจีนโดยการใช้ตัวอักษรจีนบริเวณปุ่มสตาร์ท มาตรวัดความเร็ว และชุดกระเป๋าเดินทาง นอกจากนั้นยังมีการใช้สีเคลือบภายนอกที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัสดุพอร์ซเลน Ge Kiln ที่เลื่องชื่อในสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยใช้ลวดลายแก้วร้าวตามที่เห็นในภาพ แต่ในอีกความรู้สึกหนึ่งเมื่อมองด้านหน้าทำให้นึกถึงภาพของงูได้เช่นกัน

Ferrari 599 GTB Fiorano รุ่นพิเศษ เวอร์ชั่นจีน ผลิตเพื่อการประมูลไม่เกิน 1 โหล
ถือว่าเป็นการเอาใจเจ้าบ้านของ Ferrari ก่อนที่จะเริ่มทำตลาดอย่างจริงๆจังๆอีกไม่นาน

Ferrari 599 GTB Fiorano รุ่นพิเศษ เวอร์ชั่นจีน ผลิตเพื่อการประมูลไม่เกิน 1 โหล


Ferrari FF 2012


Ferrari FF 2012



Ferrari ผุ้นำแห่งยนตรกรรมยักษ์ใหญ่แห่งวงการ Supercar ได้เปิดตัวยานยนต์ใหม่ล่าสุด 
FF ที่สุดแห่งการปฏิวัติภาพลักษณ์ใหม่กับรถยนต์สี่ที่นั่งขับเคลื่อนสี่ล้อ


เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2554 ที่ผ่านมานี้ ทางเว็บไซต์ Ferrari.com ได้เปิดตัวภาพแรกของ FF ใหม่ 
ที่เป็นรถยนต์อเนกประสงค์สี่ที่นั่งและเป็นครั้งแรกที่ขับเคลื่อนสี่ล้อของ Ferrari FF เป็นตัวย่อมาจาก
Ferrari Four ( โฟร์ ที่แปลว่า สี่ และในความหมายในที่นี่ก็ยังแสดงถึงความเป็นรถสี่ที่นั่งและขับเคลื่อน
สี่ล้อ) FF ถือว่ารถสไตล์ GT Sport แนวคิดใหม่ทั้งหมด ที่แสดงให้เห็นเด่นชัดในความแตกต่างจาก
ในอดีตยุคที่ผ่านๆมาเป็นรถใหม่ไม่มากวิวัฒนาการเป็นปฏิวัติรูปโฉมอย่างแท้จริงของ Ferrari







ด้วยเครื่อง V12 สายสัญชาตญาณสปอร์ตตัวฉกาจจาก Ferrari อันทรงคุณค่า รูปลักษณ์อันสง่างาม
ที่ออกแบบโดย Pininfarinaอีกทั้งเทคโนโลยีต่างๆที่อำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ได้อย่างลงตัวด้วยระบบการรักษาที่สมดุลในการกระจายน้ำหนัก รวมไปถึงการพัฒนาล่าสุดในระบบ
เบรคคาร์บอนเซรามิกจาก Bremboระดับประสิทธิภาพที่โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ 6,262 cc.
ระบบหัวฉีดตรง 660 CV อยู่ที่ 8,000 rpm อัตราการเร่ง (0-100 กม. / ชม. ใน 3.7 วินาที.)
ด้วยการกระจายน้ำหนักของมันที่เหมาะสำหรับการทำให้การจัดการในระบบต่างๆนั้นสามารถตอบ
สนองได้ดีเยี่ยม ผลที่ได้นั่นก็คือ ผู้ขับขี่จะสามารถเพลิดเพลินไปกับ Ferrari FF

โดย Ferrari FF จะเปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการที่งาน Geneva Motor Show





Ferrari FF เป็นรถที่เน้นการใช้งานอเนกประสงค์ จะใช้เป็นรถในลักษณะรถครอบครัว ไปเที่ยวกัน
ทั้งครอบครัวก็ได้ หรือถ้าไปคนเดียวหรือสองคนและมีสัมภาระที่เยอะมากก็สามารถพับเบาะหลังให้
มี พื้นที่เก็บของเพิ่มเติมก็ได้


ภาพภายใน Ferrari FF




Ferrari FF สามารถพับเบาะหลังเพื่อเก็บสัมภาระได้



สมบัติทางเทคนิค : FF Ferrari 2012
เครื่องยนต์


Ferrari FF Engine




ประเภท V12 65 องศา
การเคลื่อนที่โดยรวม 6,262 ซีซี
อำนาจสูงสุด 660 @ 8,000 รอบต่อนาที CV
แรงบิด 683 นิวตันเมตรสูงสุด 6,000 รอบต่อนาที @
ขนาดและน้ำหนัก

ความยาว 4,907 มม.
1,953 มม. ความกว้าง
ความสูง 1,379 มม.
น้ำหนักแห้ง * 1790 กก.
การกระจายน้ำหนักด้านหน้า 47%, 53% ด้านหลัง
ประสิทธิภาพ

 ความเร็วสูงสุด 335 กม. / ชม.
0-100 กม. / ชม. 3.7 วินาที
สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซ (ECE + EUDC)

สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ** 15,4 l/100 กม.
การปล่อย ** 360 กรัม / กม.

Ferrari F430 Spider

 หลังจากที่ปีที่แล้วทาง Ferrari ได้สร้างความฮืออาและตื่นเต้นเป็นเสียวสยิวให้กับคนที่ชื่นชอบรถสปอร์ตด้วยการปล่อย F430 – Ferrari เครื่อง V8 ที่จะมาแทน F360 Modena ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามและได้สร้างปรากฎการณ์ความตื่นตะลึงให้กับวงการรถ supercar ด้วยการเป็นรถที่มียอดจองยาวและต้องรอคิวนานที่สุดในโลก ซึ่งบางประเทศต้องใช้เวลารอนานถึง 2 ปีจนได้ชื่อว่าเป็น “The world’s longest waiting list”

เป็นที่รู้กันว่าเมื่อตัว coupe ออกมา มันเป็นธรรมเนียมที่จะต้องมีตัวเปิดประทุน หรือที่เราเรียกกันว่า “Spider” ออกมาให้ยลโฉมกันในเวลาต่อมา และแน่นอนว่าทาง Ferrari ก็ได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการรถ supercar อีกครั้ง โดยได้เลื่อนกำหนดการเปิดตัวของ F430 Spider จากเดิมที่มีกำหนดเปิดตัวในช่วงกลางปี 2005 มาเป็นไตรมาสแรกของปี 2005 แทน ซึ่งทำให้ตอนนี้ F430 Spider มีกำหนดการจะเปิดตัวสู่สายตาประชาชนในงาน Geneva Motor Show กลางเดือนมีนาคมนี้ และนี่คือรายละเอียดและภาพใหม่ล่าสุดของ F430 ที่เรานำมาให้ชาว Motortoday ได้ชมกันครับ
หน้าตาภายนอกนั้นเหมือนกับ F430 แถบทุกประการเพียงแต่ว่าไม่มีหลังคาเท่านั้นเอง ซึ่งไอ้ความไม่มีหลังคานี่แหละที่ทำให้ผมมีความรู้สึกว่าด้านท้ายของ F430 Spider มันดูเตี้ยแบน และกางมากขึ้น... ทางด้านหน้านั้นถอดแบบมาจาก F430 ทุกประการ มีรูขนาดใหญ่บนกันชนหน้าสองรูที่มีหน้าที่ดักลมเข้าไปเป่าระบายความร้อนตามส่วนต่างๆของรถ ไม่ว่าจะเป็น radiator หรือ caliper เบรก (ซึ่งทางทีมออกแบบของ Ferrari ได้แรงบันดาลใจมาจากรถแข่งรุ่นเก่ารหัส F156 F1 ที่ Phill Hill ขับในปี 1961) เมื่อลมถูกดักเข้าไประบายความร้อนตามระบบต่างๆ อากาศร้อนที่ออกมาจะถูกรีดออกทางรูที่อยู่ด้านข้างของกันชน (ที่ดูเหมือนเหงือกฉลาม โดยเหงือกนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าของ F360 และสามารถถ่ายเทความร้อนได้ดีกว่า) เพื่อไม่ให้อากาศร้อนเข้าไปลดประสิทธิภาพการทำงานของเบรก และอากาศเย็นๆอีกส่วนจะถูกดักไปเป่า caliper โดยเฉพาะ นอกจากนี้ล้อ mag ขนาด 19 นิ้วลายใหม่ของ F430 ก็ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถระบายความร้อนของ brake ได้ดีขึ้นอีกด้วย
กระจกมองข้างที่ถูกออกแบบให้เป็นขาสองขามีช่องอยู่ตรงกลางนั้น ถูกออกแบบให้ช่วยลดแรงต้าน แต่ใน F430 Spider มันมีประโยชน์มากกว่าแค่ลดแรงต้าน เพราะมันจะยังทำหน้าที่บังคับกระแสลมให้เป็นระเบียบเข้าไปสู่ช่องดักลมตรงเหนือซุ้มล้อ ให้อากาศเข้ามาสู่เครื่องมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อีกทั้งไอ้ช่องดักลมตรงเหนือซุ้มล้อจะมีขนาดใหญ่กว่าใน F360 Spider และสามารถดักลมเย็นเข้าเครื่องได้มากกว่า F360 Spider ซึ่งทำให้เครื่องยนต์ของ F430 มี performance ดีขึ้นอีกด้วย… skirt กันชนหน้าใต้ช่องดักลมที่ต่ำลง ปลายท้ายรถที่กระดกสูงขึ้นกว่า F360 รวมไปถึง diffuser ทางด้านหลังใต้ท้องรถที่ออกแบบใหม่ ทำให้ F430 Spider มี aerodynamics ที่ดีไม่แพ้ F430 Coupe โดยทาง Ferrari เคลมว่าการออกแบบ aerodynamic ของ F430 Spider นั้นใช้ technology ในการออกแบบเช่นเดียวกับที่ใช้กันในรถ F1
ไฟหน้าของ F430 Spider เป็นระบบ Bi-Xenon เวลาเปิดไฟจะมีแถบ LED เล็กๆ เรียงเป็นแถวอยู่ทางด้านข้างของกรอบไฟ เช่นเดียวกับ F430 Coupe ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโดดเด่นเป็นสง่าตอนขับไปเที่ยวผับได้เป็นอย่างดี

หลังคานั้นยังเป็นแบบ soft-top เหมือน F360 Spider ไม่ได้เป็น glass roof แบบใน 575 Super America อย่างที่เป็นข่าวกันในตอนแรก... หลังคาควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า สามารถเก็บได้อย่างมิดชิดภายใต้พื้นที่หลังเบาะแคบๆเช่นเดียวกับ F360 Spider ซึ่งสิ่งที่ผมยังไม่เข้าใจก็คือ ทำไมกระจกหลังมันยังไม่ใช่กระจก แต่เป็นแค่พลาสติกใสๆที่ดูไม่สมราคาเอาซะเลย
เครื่องยนต์นั้นยกมาจาก F430 Coupe ทั้งดุ้น ซึ่งเป็นเครื่อง V8 ที่ทาง Ferrari ไม่ได้พัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่เอาเครื่องของ Maserati Coupe มาใช้แทนแล้วปรับปรุงใหม่ทั้งหมด โดยการเปลี่ยนลูกสูบ ก้านสูบ และ crankshaft ใหม่ นอกจากนี้ยังปรับปรุง intake manifold ใหม่ ลิ้นปีกผีเสื้อแบบสูบใครสูบมัน ทำให้สามารถดูดอากาศเข้าเครื่องได้มากขึ้น เปลี่ยนระบบหล่อลื่นเป็นแบบ dry-sump พร้อมทั้งปรับปรุงขนาด clutch แบบ twin-plate รวมถึง flywheel ให้มีขนาดเล็กลง ทำให้สามารถลดความสูงของเครื่องระหว่างใต้ oil sump กับ crankshaft ได้มากกว่า F360 อีก 15 mm

เครื่องตัวนี้เป็นแบบ 4 valve ต่อสูบ มี quad camshaft โดยแบ่งเป็นฝั่งละคู่ พร้อมกับระบบ valve แปรผัน มีกำลังอัดในกระบอกสูบ 11.3:1 ควบคุมด้วยกล่อง ECU ของ Bosche เจ้าเก่ารุ่น Motronic ME7 สองใบ มาพร้อมกับ Twins Motorised Throttles, Single Coils และ Active Anti Knocking Controls (ระบบป้องกันการน๊อกตลอดรอบเครื่องยนต์) ขนาดความจุ 4308 cc. (มากกว่า F360 Spider 20%) ได้แรงม้าทั้งหมด 490 bhp @ 8500 rpm (เพิ่มขึ้น 23%) แรงบิดสูงสุด 465 @ 5250 rpm มากกว่าเดิม 25% โดยแรงบิดกว่า 80% มีให้ใช้ตั้งแต่ 3500 rpm. ทำให้ F430 Spider มี 114 แรงม้าต่อลิตรและมี อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักที่ 2.9 kg ต่อม้าหนึ่งตัว
แรงม้าทั้งหมดจะถูกส่งผ่านเกียร์แบบ 6 speed ที่มีทั้งแบบ manual และ F1 ให้เลือก ทำงานร่วมกับ Electronics Differential (E-Diff) ซึ่งไอ้เจ้าระบบนี้จะทำหน้าที่วัดแล้วก็วิเคราะห์แรงบิดที่อยู่ที่ล้อขับเคลื่อนแต่ละข้างรวมถึงสภาพของพื้นถนน เพื่อที่จะทำให้รถเกาะถนนมากที่สุด (Maximum Grip) โดยจะเลือกปริมาณแรงบิดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสภาพรถขณะนั้นๆ... เกียร์ลูกนี้ทำมาจาก aluminium และประกอบด้วย Multi-Cone Synchronizers ทำงานร่วมกับเฟืองท้ายแบบใหม่ (Bevel Type) เพื่อให้สามารถถ่ายทอดแรงม้าและแรงบิดได้สมบูรณ์มากที่สุด

อัตราทด 5 เกียร์แรกของ F430 Spider จะเหมือนกับ F360 Spider ส่วนเกียร์ 6 อัตราทดจะยาวกว่า แต่เฟืองท้ายของ F430 Spider จะสั้นกว่า ดังนั้นโดยรวมทำให้เกียร์ของ F430 Spider ยาวกว่าและวิ่ง top speed ได้มากกว่า F360 Spider ซึ่งเกียร์ F1 ของ F430 Spider นั้นมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมเหมือนใน F430 Coupe คือจะใช้เวลาเปลี่ยนเกียร์ทั้งหมดเพียง 150 millisecond (รวมเวลาตั้งแต่ computer สั่งกด clutch เปลี่ยนเกียร์ จนกระทั่งปล่อย clutch ) นอกจากนี้การเข้าเกียร์ถอยยังใช้การกดปุ่มที่กินเวลาน้อยกว่า F360 Spider ถึง 50% กดแล้วไม่ต้องนั่งรอให้เสียอารมณ์ อีกทั้งคุณยังสามารถเปลี่ยนจากเกียร์ถอยมาสู่เกียร์หนึ่งได้เลยโดยไม่ต้องผ่านเกียร์ว่างเหมือนกับรุ่นก่อน
เมื่อระบบ Lunch Control ของ F430 ทำงานร่วมกับยางของ Bridgestone Re050A ขนาด 225/35 ทางด้านหน้ากับ 285/35 ทางด้านหลัง (มียางแบบ Run-Flat Tire ของ Goodyear ให้เลือกเสียตังค์เพิ่ม) ทำให้ F430 Spider สามารถทำความเร็ว 0-100 ได้ในเวลา 4.1 วินาที ช้ากว่า F430 Coupe เพียงแค่ 0.1 วินาที และมี top speed ที่ 309 km/h ซึ่งน้อยกว่า F430 Coupe ที่ทำได้ 315 km/h อยู่ 6 km/h แต่แค่นี้ก็เร็วขน(หัว)หลุดแล้ว

ช่วงล่างยกมาจาก F430 Coupe เช่นกันเป็นแบบ double unequal-length wishbone พร้อม anti-drive และ anti-squat geometries ซึ่งทำจาก aluminium forged เพื่อความเบา (สามารถลดค่า Unsprung Weight ลงได้มากกว่า F360) มีระบบ electronics คอยควบคุมที่เรียกว่า Skyhook ทำให้ F430 Spider เป็นรถเปิดประทุนรุ่นแรกของ Ferrari ที่ใช้ช่วงล่างแบบ Active Suspension... ระบบเบรกนั้นมี Carbon Ceramic Brake พร้อมกับ Caliper แบบ 6 Pots ให้เลือกเสียตังค์เป็น Option เช่นเดียวกับ F430
ภายใน F430 Spider นั้นยกมาจาก F430 Coupe ทั้งดุ้น (จะแตกต่างก็ตรงที่ F430 Spider มีปุ่มควบคุมการเปิดปิดหลังคา) ภายในของ F430 Spider นั้นไม่มีแอร์ digital ไม่มีเครื่องเสียงที่มีปุ่มยุบยับ พวงมาลัยทรงสามก้านเหมือนกับที่อยู่ใน F430 Coupe เด๊ะๆ แตรอยู่ตรงตำแหน่งวางนิ้วเหมือนกับใน CS แล้วก็ Enzo ซึ่งไม่ว่ายังไงเวลาซิ่งๆหรือรีบๆมันต้องไปกดโดนทุกที นอกนั้นบนพวงมาลัยก็ประกอบไปด้วยปุ่ม start กับสวิทช์ควบคุม mode ต่างๆของรถ ที่ทาง Ferrari เรียกว่า Manettino มีหน้าที่ควบคุม E-Diff, Gear F1, Suspension, CST, ASR, EBD และ ABS

ใน F430 Spider คุณก็ยังสามารถตบแต่งแบบตามใจฉันได้เหมือนเดิม (Carrozeria Scaglietti) ตามเอกสารที่ผมมีนั้น F430 Spider สามารถเลือกได้ว่าจะเอารถสีอะไร (มีให้เลือกทั้งหมด 16 สี รวมถึงสีใหม่ “Grigio Silverstone” สำหรับ F430 Spider โดยเฉพาะเหมือนที่อยู่ในรูป) เลือกสีหนังภายในได้ทั้งหมด 12 สี แล้วก็สีพรมอีก 8 สี การตกแต่งภายในสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ carbon-fiber หรือว่า aluminium นอกจากนี้ยังสามารถเลือกสีวัดรอบได้ว่าจะเอาพื้นเป็นสีเหลืองหรือสีแดง… การตกแต่งแบบตามใจฉันยังคงแบ่งเป็น 4 zone เหมือนเดิมคือ Racing & Track, Exterior & Colour, Interior & Material และสุดท้ายก็คือ Equipment & Travel ซึ่งมีให้เลือกมากมายรวมไปถึง Bluetooth ที่ราคาแถวๆแสน แพงบ้าเลือดได้อารมณ์มาก
สุดท้าย เรื่องราคานั้ยังแบะๆๆ แต่ถ้าให้เดาเล่นสั่วๆ ราคาในบ้านเราน่าจะอยู่แถวๆ 23 ล้าน จนถึง 24 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับค่าเงินและ option เอาเป็นว่าเดี๋ยวถ้ามีรายละเอียดเพิ่มเติมหรือภาพตัวเป็นๆจะรีบเอามาให้ชมกันแน่นอนครับ ส่วนเรื่องอารมณ์ในการขับขี่ และ performance เมื่อเทียบกับ F360 Spider จะเป็นอย่างไรนั้น ถ้ามีโอกาสเดี๋ยวจะเก็บเอามาเล่าให้ฟัง รับรองว่าอีกไม่นานคงมี First Impression ออกมาให้ได้อ่านกันที่นี่ที่เดียวสำหรับชาว Motortoday โดยเฉพาะครับ

Ferrari F430 Scuderia

Ferrari F430 Scuderia  ราคา  27,000,000 บาท (พอๆกับ DBS เลย)
Ferrari F430 รุ่นนี้เป็นรุ่นพิเศษเพราะเป็น เวอร์ชั่นนํ้าหนักเบาคันใหม่ล่าสุด จะเปลี่ยนชื่อจาก "Challenge Stradale" ที่เคยใช้ในรุ่น 360 เป็น "Scuderia" และยังถูกโมดิฟายเครื่องยนต์ใหม่ให้มีแรงม้าที่จัดจ้านมากขึ้นกว่า F430 เวอร์ชั่นธรรมดาด้วยครับ สำหรับ Ferrari ในรุ่นนี้ เขาได้ใช้ know-how และประสบการณ์จากสนามแข่ง F1 ในการพัฒนา F430 Scuderia โดยเน้นการลดนํ้าหนักของตัวรถ ส่งผลให้การควบคุมมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับรถที่ใช้ในสนามแข่ง การตกแต่งห้องโดยสารและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ จะถูกติดตั้งเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ก็รู้กันไปเลยว่า ความหรูหราของห้องโดยสารอาจดูด้อยกว่า F430 รุ่นธรรมดาไปบ้าง โดยชิ้นส่วนส่วนใหญ่จะผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ เพราะมันให้ทั้งความแข็งแกร่งเทียบเท่าเหล็กแต่มีนํ้าหนักเบากว่าหลายเท่าตัว ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจว่า F430 Scuderia จึงมีนํ้าหนักเพียง 1,250 กก. ซึ่งเบากว่า F430 ประมาณ 100 กก. และมีอัตราส่วนแรงม้าต่อนํ้าหนักเพียง 2.45 กก./แรงม้าเท่าน้น

ฉันใดฉันนั้นครับ นํ้าหนักที่ลดไปกว่า 100 กก. ส่งผลให้ประสิทธิภาพการควบคุมและการเบรกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่สำคัญ แม้จะใช้เครื่องยนต์เดิม ความจัดจ้านของอัตราเร่งก็ย่อมดีขึ้นอยู่แล้ว แต่แรงม้าระดับ 490 ตัว ใน F430 อาจดูไม่เพียงพอสำหรับเวอร์ชั่นพิเศษ ทาง Ferrari จึงโมดิฟายเครื่องยนต์ใหม่ให้มีแรงม้าเพิ่มขึ้นเป็น 520 แรงม้า เพิ่มฟีลลิ่งการขับขี่แบบเรซซิ่งอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งอัพเกรดระบบเกียร์ F1 แบบ 6 สปีด ให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ฉับไวยิ่งขึ้นไปอีก

Ferrari BB 512i

เฟอร์รารี่ เบอลิเน็ตต้า บ็อกเซอร์ ปี 1979 เป็นรถหนึ่งในตระกูลม้าลำพองเฟอรารี่ ที่ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี 1973 – 1984 

โดยใช้เครื่องยนต์แบบ mid-mounted flat-12 Boxer Engine แทนที่เครื่องยนต์แบบ FR Layout Daytona โดยประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด เมื่อถูกใช้เป็นเครื่องยนต์ของ Ferrari Tetarossa
การผลิตเครื่องยนต์ เบอลิเน็ตต้า บ็อกเซอร์ ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของ เอ็นโซ่ เฟอร์รารี่ เลยทีเดียว โดยตอนแรกเขาคิดว่า รถที่ใช้เครื่องยนต์แบบขับเคลื่อนล้อหลังนั้นจะส่งผลให้การบังคับรถนั้นเป็นไปได้ยากสำหรับลูกค้าของเขา ซึ่งเหล่าวิศวะกรของเฟอร์รารี่ใช้เวลา ที่จะเปลี่ยนความคิดของเอ็นโซ่อยู่นานหลายปี จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ยอมเปลี่ยนความคิด ภายหลังจากที่เฟอร์รารี่สูญเสียตำแหน่งผู้นำให้แก่ รถเครื่องยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังยี่ห้ออื่นๆในการประลองความเร็วที่สนามแข่ง
ซึ่งหลังจากความพ่ายแพ้ในครั้งนั้น ทำให้เฟอร์รารี่ผลิตเจ้า Ferrari Dino รถแข่งเครื่องยนต์วางกลางขับเคลื่อนล้อหลัง ทั้ง 4 สูบ 6 สูบ และ 8 สูบ เพื่อต่อสู้กับรถแข่งค่ายอื่นๆ โดยวิวัฒนาการนั้นได้ส่งผลถึงรถรุ่นต่อๆมาของเฟอร์รารี่ที่ใช้รหัส P และ LM แต่สำหรับรุ่น Daytona นั้นยังคงใช้เครื่องยนต์แบบขับเคลื่อนล้อหน้าจนมาในปี 1971 ที่เฟอร์รารี่ได้เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง ขนาด 12 สูบทั้งหมด

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

Ferrari 599 GTB Fiorano

Ferrari 599 HGTE
เหมาะสำหรับการขับแบบสบายๆ กว่าพวกรถสปอร์ตพันธุ์แท้เครื่องยนต์วางกลาง แต่สุดท้ายแล้ว อาจจะยัง เชื่อง ไม่พอสำหรับบางคน ทางเฟอร์รารี่ก็เลยคลอดเวอร์ชันพิเศษที่เรียกว่า HGTE ออกมา เพื่อปรับแต่งตัวรถให้มีสมรรถนะการขับขี่และการบังคับคุมที่ดีขึ้น


      ตัวรถถูกเผยโฉมออกมาใน เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2008 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และคำว่า HGTE ย่อมาจาก Handling Gran Turismo Evoluzione ซึ่งหมายถึงการปรับแต่งช่วงล่างที่เน้นความหนึบขึ้น และระบบบังคับเลี้ยวที่เน้นความฉับไวและแม่นยำในการควบคุมทิศทางที่มากขึ้น กว่าเวอร์ชันปกติ การพัฒนายึดพื้นฐานของตัวถังคูเป้ของรุ่น 599GTB หรือที่มีรหัสเรียกขานภายในว่า F139 ซึ่งเปิดตัวออกมาในปี 2006 เป็นแม่แบบ ภายใต้รูปลักษณ์ที่สวยสะดุดตาจากการออกแบบของพินินฟารินาและมีแฟรงค์ สเต็ปเฟอร์สันเป็นผู้ควบคุมการทำงาน ซึ่งเคยฝากฝีมือมาแล้วกับรุ่น 612 Scaglietti หรือ มาเซราติ MC12
Ferrari 599 HGTE
 รถสปอร์ตในสไตล์ GT รุ่นนี้ถูกส่งออกมาแทนที่รหัส 550/575M ที่อยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 1996 ซึ่งชื่อรุ่นเป็นการตั้งตามความจุของเครื่องยนต์ (5,999 ซีซี) ต่อด้วยประเภทของตัวถังแบบคูเป้แกรน ทัวริง หรือ GTB-Gran Turismo Berlinetta แต่ตามด้วยชื่อสนามทดสอบชื่อดังของเฟอร์รารี่อย่าง Fiorano ในอิตาลี ในเวอร์ชันนี้ไม่เน้นการความแรงที่เพิ่มขึ้นเครื่องยนต์ มีแค่การปรับแต่งในส่วนของชุดท่อพักใบปลายดังนั้นขุมพลังวี12 ที่มีพิกัดความจุในระดับ 6,000 ซีซีจึงมีตัวเลขแรงม้าเท้าเดิมที่ 620 แรงม้า ที่ 7,600 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 61.8 กก.-ม. ที่ 5,800 รอบต่อนาที เลือกส่งกำลังได้ทั้งแบบธรรมดา 6 จังหวะหรือแบบคลัตช์ไฟฟ้ารุ่น F1 SuperFast สิ่งที่ต่างออกไปจากรุ่นธรรมดาที่ทางเฟอร์รารี่บอกว่าสามารถสัมผัสได้เมื่อ ขับบนเส้นทางที่คดเคี้ยว หรือในสนามแข่ง คือ การยึดเกาะที่ดีและการบังคับควบคุมที่ฉับไวขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับแต่งและอัพเกรดชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบช่วงล่าง และระบบบังคับเลี้ยวบนพื้นฐานเดิมแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น
Ferrari 599 HGTE
ในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก เวอร์ชัน HGTE มีความแตกต่างจากรุ่นปกติอย่างแน่นอน เพราะมีการใช้นำคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้ในการผลิตชุดแต่งตัวถังในบางส่วนของตัว รถ รวมถึงการเปลี่ยนมาใช้ล้อแม็กลายใหม่ที่มีขนาดถึง 20 นิ้ว

        สปริงมีการเปลี่ยนค่า K ที่แข็งขึ้น พร้อมกับลดความสูงลงจากเดิม โช้กอัพซึ่งเป็นแบบ Magnetic Ride หรือการเพิ่มความหนืดของโช้กอัพด้วยการใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเฟอร์รารี่เรียกว่า SCM (Magnetorheological Suspension Control) ก็มีการปรับแต่งใหม่ให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้น และยังมีการเพิ่มขนาดของเหล็กกันโคลงหลัง นอกจากนั้น ยังมีการปรับแต่งซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวกับการทำงานของเกียร์ในรุ่น F1 SuperFast ให้มีความฉับไวในการทำงานและสอดคล้องกับการขับขี่ และมีการอัพเกรดซอฟต์แวร์ในกล่องควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์โดยเน้นไปที่ การตอบสนองในเรื่องอัตราเร่งช่วงตีนต้นที่ดีขึ้นกว่ารุ่นปกติ


FERRARI 599XX


จากรูปลักษณ์ภายนอก ใครเห็นก็รู้ว่าเจ้ารถคันนี้มันไม่ธรรมดาแน่นอน เนื่องจากว่าแทบจะไม่เหลือความเป็นรถที่ใช้งานบนท้องถนนแล้ว ก็เพราะว่า 599XX เป็นรถแข่งที่พัฒนามาจาก 599GTB โดยมีแรงม้าเพิ่มขึ้นเป็น 700 แรงม้า ที่ 9,000 รอบ/นาที เครื่องยนต์ V12 ขนาดความจุ 6.0 ลิตร ในขณะที่มีการลดน้ำหนักโดยถอดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นออ และเปลี่ยนวัสดุมาเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ให้มากขึ้น การเปลี่ยนเกียร์แบบรถ F1 ซึงใช้เวลาเพียง 60 มิลลิวินาที หรือเพียงแค่เสียววินาทีเท่านั้น ดุมล้อคู่หน้าเป็นล้อแม็กนีเซี่ยมเซ็นเตอร์ล็อกขนาด 11Jx19″ รัดด้วยยางสลิคขนาด 29/67R19 และล้อคู่หลังมีขนาด 12Jx19″ รัดด้วยยางสลิคขนาด 31/71R19

Ferrari F12 Berlinetta

ในวันนี้ Ferrari F12 Berlinetta กลับมาอีกครั้งในงาน Geneva Motor Show 2012 ด้วยการแนะนำนความงามอีกครั้ง ด้วยพลังใต้ฝากระโปรงที่อัดได้เต็มเหนี่ยมจากเครื่องยนต์ขนาด V12 ให้กำลัง 730 แรงม้า รีดแรงบิด 690 นิวตันเมตร ที่ปลายเท้า ทำอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน 3.1 วินาที และ ความเร็วปลายใส่ไม่ยั้งถ้ากล้าพอที่ 340 ก.ม./ช.ม.
Ferrari F12 Berlinetta ยังไม่มีการเปิดเผยเรื่องวการวางจำหน่าย แต่นี่คือเรือนร่างที่มีการเปิดเออกมาในงาน Geneva motor show 2012 ที่เรานำมาให้ชมพร้อมกับ ซุ้มเสียงของรถจากวีดีชุดใหม่ ที่คงจะถูกใจ ใครหลายคนๆ ไปชมกันเองเลย 

Ferrari ENZO

Ferrari Enzo

฿เฟอร์รารี่ เอนโซ่ ถูกสร้างขึ้นในปี 2003 โดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับ รถแข่ง Formula-1 (F-1) เช่น ตัวถังเป็น คาร์บอน ไฟเบอร์ ระบบการเปลี่ยนเกียร์แบบรถ F-1 จานเบรคทำมาจาก คาร์บอน เซรามิก และสิ่งที่เป็นไฮไลท์ของเจ้า เฟอร์รารี่ เอนโซ่ตัวนี้ก็คือ เมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วสูง Spoiler ข้างหลังจะถูกควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อให้ได้แรงกดที่พอเหมาะ
เป็นรถที่แพงที่สุดอันดับ 2 ของโลก

Ferrari SP12 EC

Ferrari SP12 EC รถแรง Eric Clapton มีส่วนร่วมในการสร้าง

alt

ชื่อเสียงเรียงนาม Eric Clapton ในหมู่นักฟังเพลงคงไม่ต้องบรรยายกิตติศัพท์มากนักแต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่บางคนอาจจะ
ยังไม่รู้จักเขาในฐานะนักร้อง นักกีตาร์สำเนียงบลูส์ซะเท่าไร แต่วันนี้ผู้อ่านทุกท่านก็น่าจะจดจำชื่อ Eric Clapton ไปไม่
น้อยเมื่อได้อ่านข่าวชิ้นนี้

วันที่ 25 พฤษภาคม 2012 Ferrari ได้เปิดตัว Ferrari SP12 EC รถสปอร์ตรุ่นพิเศษที่ทาง Eric Clapton ได้มีส่วนร่วมใน
การสร้างรถคันนี้โดยใช้แรงบันดาลใจในการออกแบบจาก Ferrari 512BB ที่ทำตลาดในช่วงปลายยุค 70 ซึ่ง
Eric Clapton ได้ครอบครองมันไปแล้วถึง 3 คัน ความใฝ่ฝันของ Eric Clapton คือการสร้างรถสปอร์ตที่มีดีไซน์แรง
บันดาลใจจาก Ferrari 512BB บนพื้นฐานงานวิศวกรรมจาก Ferrari 458 italia




งานออกแบบถูกควบคุมโดย Centro Stile Ferrari ทำงานร่วมสำนักออกแบบ Pininfarina บนพื้นฐานการพัฒนาด้าน
วิศวกรรมโดย Maranello ขุมพลังติดตั้งเครื่องยนต์ V8 4.5 ลิตร 570 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 540 นิวตันเมตร มีอัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง



Ferrari 458



ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เฟอร์รารี่อยู่ในตลาดรถยนต์จีนมานานถึง 20 ปีแล้ว ทั้งๆ ที่ตลาดรถยนต์จีนเพิ่งจะเริ่มบูมเอาๆ ไม่เกิน 10 ปีเท่านั้น และเรื่องนี้ไม่ต้องตกใจว่าเป็นความผิดพลาดใดๆ ทางข้อมูล เพราะว่างานนี้ย้อนกลับไปนานในยุคที่มีการนำเข้าตามใบสั่ง โดยเฟอร์รารี่รุ่นแรกที่ถูกส่งเข้ามาขายในจีน คือ รุ่น 348TS ซึ่งถูกส่งไปยังผู้ใหญ่ในปักกิ่งเมื่อปี 1992ดังนั้น ในวาระพิเศษฉลอง 20 ปีของการทำตลาดในจีน เฟอร์รารี่ก็เลยต้องมีอะไรพิเศษออกมาเอาใจลูกค้าชาวจีน ซึ่งในปัจจุบันน่าจะกลายเป็นตลาดที่มีความสำคัญในลำดับต้นๆ ของค่ายม้าป่าลำพอง โดยคราวนี้เปิดตัวสีพิเศษของ 458อิตาเลียที่มีการผลิตเพียง 20 คันเท่านั้นสำหรับตลาดแห่งนี้

458 อิตาเลีย ตัวถังคูเป้เวอร์ชันพิเศษนี้มากับโทนสีที่เรียกว่า Marco Polo Red ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษ อีกทั้งแถบดำขอบทองคาดกลางตัวถังยังมีการเพนต์ลายเป็นรูปมังกร แถมตัวรถยังมีการตกแต่งทั้งภายนอกและภายในเพื่อให้สอดคล้องกับลูกค้ากลุ่มนี้ โดยที่ฐานคันเกียร์มีการติดตั้งป้ายเดินด้วยขอบทองพร้อมกับระบุหมายเลขของรถสปอร์ตคันนั้นจากจำนวน 20 คันที่วางขาย และที่ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ก็ใช้ตัวหนังสือจีนในการสื่อความหมายเดียวกับคำว่า Start
     
       ทางด้านเครื่องยนต์ที่วางอยู่ตรงกลางยังเร้าใจกับขุมพลังวี8 4,500 ซีซี 570 แรงม้า ที่ 9,000 รอบ/นาทีแรงบิดสูงสุด 55.0 กก.-ม. ที่ 6,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ F1 Shift ใช้เวลา 3.4 วินาทีสำหรับการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
     
       ราคาจำหน่ายไม่ได้เปิดเผย แต่เชื่อว่าผลิตจำกัดแบบนี้ ราคาไม่น่าถูกอย่างแน่นอน

Ferrari 250 GTO


ฟอร์รารี่ 250 จีทีโอ” รุ่นปี 1963 รถยนต์ล้ำค่าหายาก 1 ใน 36 คัน ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในหมู่เศรษฐีนักสะสม  ถูกสถาบันการประมูลอาร์เอ็ม อ็อคชั่นส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการขายและประมูลรถยนต์เฟอร์รารี่ นำมาเปิดการขายแบบ “ไพรเวท ทรีตี้  เซล”

เฟอร์รารี่ “250 จีทีโอ” เป็นรถยนต์ล้ำค่าระดับตำนานที่หา (ดูและซื้อ) ยากมากที่สุดรุ่นหนึ่ง ที่บอกว่าหาซื้อยากนั้นเป็นเพราะส่วนใหญ่เขาจะไม่นำรถรุ่นนี้มาประกาศขายในที่สาธารณะ แต่ผู้ซื้อและผู้ขายจะติดต่อเจรจา ต่อรอง และทำสัญญากันแบบลับๆ  เราจึงไม่ค่อยได้ยินข่าวเกี่ยวกับการซื้อขายรถรุ่นนี้เท่าไหร่นัก หรือถ้าตกเป็นข่าวก็มักไม่มีการเปิดเผยราคาขายให้ทราบอย่างเป็นทางการ

อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้รถรุ่นนี้มีค่า และหายากมากๆ ก็คือ การที่ถูกผลิตขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1962-1963  (พ.ศ. 2505-2506) เพียง 36 คัน ปัจจุบัน รถทั้ง 36 คันยังอยู่ครบและต่างก็มีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท โดยล่าสุดเมื่อ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เคยมีข่าวลือว่ารถยนต์เฟอร์รารี่ 250 จีทีโอ 1 ใน 36 คันได้ถูกเปลี่ยนมือ และในครั้งนั้นมูลค่าการซื้อขายก็สูงถึงเกือบ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (996 ล้านบาท) เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม การขายรถยนต์ “เฟอร์รารี่ 250 จีทีโอ” ครั้งล่าสุดนี้ ได้ถูกเปิดเผยโดยสถาบันการประมูล “อาร์เอ็ม อ็อคชั่นส์” ว่าทางสถาบันฯ ได้นำรถยนต์ “เฟอร์รารี่ 250 จีทีโอ”  มาเปิดการขายแบบ “ไพรเวท ทรีตี้  เซล” เพื่อให้นักสะสมที่สนใจได้ติดต่อและเสนอราคาเข้ามาที่สถาบันฯ โดยจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดในที่สาธารณะ เมื่อได้ราคาที่ผู้ขายพอใจ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะทำสัญญาระหว่างกันโดยตรง

รถยนต์ “เฟอร์รารี่ 250 จีทีโอ”  ที่ “อาร์เอ็ม อ็อคชั่นส์” นำมาขายในครั้งนี้ (หมายเลขแชสซี   #4675GT) อยู่ในครอบครองของนายโยชิโฮ มัตสุดะ เศรษฐีนักสะสมรถยนต์ชื่อดังชาวญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539) นอกจากรถคันนี้แล้วเขายังสะสมรถยนต์อีกหลายคัน รวมทั้งรถยนต์เฟอร์รารี่  250 จีทีโอ แชสซีหมายเลข #3445GT อีกด้วย